เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๔ ม.ค. ๒๕๕๓

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๔ มกราคม ๒๕๕๓
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี


 

มนุษย์เกิดมาปรารถนาความสุข เราที่ดำรงชีวิตกันอยู่นี้ก็เพื่อหาความสุข แต่ความสุขในโลกมนุษย์นี้ เป็นความสุขในสถานะของมนุษย์เห็นไหม มนุษย์ คน คนไม่ทั่ว สูงกว่าคนเป็นมนุษย์ สิ่งที่เป็นมนุษย์ขึ้นมาเพราะอะไร เพราะสิ่งที่เป็นคนขึ้นมา การเกิดของคนเห็นไหม เราปรารถนาความสุข แต่จะประสบความสุขจริงหรือเปล่า ถ้าประสบจริง ความสุขอย่างนี้ ความสุขเพราะมันเป็นความพอใจ ถ้าไม่พอใจก็เกิดความทุกข์ เช่นมาทำบุญกุศลนี้ เราอยากทำบุญกุศล เราปรารถนาความสุข ความสุขกับบุญคืออะไร บุญคือความพอใจ ถ้าใจมันอิ่มเต็มของมันนั้นคือบุญของเรา บุญของเรานั้นก็จะเป็นที่พึ่งอาศัย

อาหารของร่างกาย การทำบุญกุศลการแสดงออกด้วยการถวายอาหาร การถวายอาหารสิ่งที่เป็นปัจจัยเครื่องอาศัยนี้ เป็นการแสดงออกของน้ำใจ ถ้าคนมีน้ำใจ คนมีความลงใจ ใจมีความยอมรับ ใจมีการกระทำ สรรพสิ่งในโลกนี้จะทำได้ทุกๆ อย่างเลย แต่ถ้าใจมันขัดขืน ใจมันดื้อดึง ใจมันตระหนี่ถี่เหนียว มันจะยึดของมันไว้ อาหารมีมากน้อยขนาดไหน จะไม่เป็นประโยชน์กับใครเลย

การแสดงออกอันนี้เป็นการแสดงออกของค่าของน้ำใจ ค่าของน้ำใจนี้เป็นอาหารของใจ อาหารของกายคืออาหารเป็นคำข้าว อาหารของใจคือบุญกุศล คือความอิ่มเต็มของใจ เห็นไหมเรามาวัดมาวากันเพื่ออะไร เรามาเพื่อการฟังธรรม ทั้งๆที่ธรรมก็มีอยู่แล้ว วัตรปฏิบัติ เห็นไหม วัตร ข้อวัตรปฏิบัติ วัด เราเรียกว่า วัด วัดต้องมีวิหาร มีโบสถ์ มีเจดีย์ ถึงจะเป็นวัด โบสถ์ วิหารเจดีย์เดี๋ยวนี้ ใครๆ ก็สร้างได้ แต่การสร้างกติกาของใจ ข้อวัตรปฏิบัติ อันนี้สำคัญมาก ถ้าสำคัญมาก เห็นไหมการมาวัดมาวา มาฟังธรรม สิ่งที่ฟังธรรม ธรรมนั้นแสดงออกมาจากใคร การแสดงธรรม ออกมาจากหัวใจที่ได้สัมผัสธรรม ถ้าแสดงออกมาจากใจที่ไม่ได้สัมผัสธรรมเห็นไหม

การฟังธรรม บุญกุศล อานิสงส์ของการฟังธรรม การฟังธรรมนั้นคือได้ฟังในสิ่งที่ไม่เคยได้ยินได้ฟัง สิ่งที่ได้ยินได้ฟังแล้ว ได้ตอกย้ำมัน สิ่งที่ได้ยินได้ฟังนั้นแก้ความลังเลสงสัยของตัว สิ่งที่ได้ยินได้ฟังนั้นทำให้จิตใจผ่องแผ้ว นั่นคือการแสดงธรรม คนที่มีกึ๋น มีความจริงในหัวใจ แสดงธรรมออกมาเห็นไหม การแสดงธรรมออกมานั้น มันเปิดหัวอกให้เราฟัง ถ้าเปิดหัวอกให้เราฟังนะ ถ้าเราฟังด้วยความเป็นธรรมเห็นไหม สิ่งที่เป็นธรรมฟังแล้ว มันแช่มชื่น ถ้าฟังด้วยกิเลสตัณหาความทะยานอยากมันฟังด้วยความโต้แย้ง มันฟังด้วยความเจ็บช้ำน้ำใจ มันฟังด้วยการขัดขืน เห็นไหม การฟังแบบนั้นได้ประโยชน์จากการฟังไหม

อานิสงส์ของการฟังธรรม ฟังแล้วจิตใจผ่องแผ้ว อกุศลของการฟังธรรม ฟังธรรมแล้วขัดขืนดื้อดึง มันเจ็บช้ำน้ำใจ ความเจ็บช้ำน้ำใจเพราะอะไร เพราะธรรมมันสะเทือนหัวใจเรา ธรรมมันสะเทือนเข้าไปอยู่ในกลางหัวอกนั้น เพราะกลางหัวอกนั้นมีอวิชชา มีกิเลสตัณหาความทะยานอยากอยู่ในหัวใจนั้น ธรรมเข้าไปชำแรกในหัวใจนั้น แต่หัวใจก็ด้วยกิเลสตัณหาความทะยานอยากมันป้องกันธรรมนั้น มันไม่ยอมรับธรรมนั้น มันดื้อดึงกับธรรมนั้น มันขืนธรรมนั้นเห็นไหม การขืนธรรมนั้น

การแสดงธรรม ถ้าผู้แสดงไม่มีธรรมในหัวใจ การแสดงออกไปนั้นมันไม่บอกถึงว่ามีกึ๋น มันบอกว่ามีวุฒิภาวะสูงหรือต่ำ ถ้ามีสูงหรือต่ำมันมีการโต้แย้ง มีจุดบกพร่อง มันเป็นไปไม่ได้หรอก แต่ถ้าเป็นธรรมนะ คำไหนคำนั้น มันต้องเป็นสัจจะความจริง ถ้าสัจจะความจริงอันนั้น ขัดขืนดื้อดึงอย่างไรมันก็ไม่พ้นไปจากสัจธรรมอันนั้น แต่สัจธรรมนั้นมันมี หยาบ มีกลาง มีละเอียด มีละเอียดสุด พื้นฐานของธรรมเห็นไหม เราต้องมีศีลก่อน มีศีลขึ้นมาเป็นความปกติของใจ

ถ้าใจมีความปกติของมัน ดูสิการผ่าตัด การรักษาไข้ เวลาเขาฉีดยาเข้าเส้น เขาต้องหาเส้น เพื่อจะเอายานั้นเข้าเส้นนั้น นี่ก็เหมือนกันในเมื่อหัวใจเราจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมา หัวใจเรายังไม่นิ่ง หัวใจเรายังไม่มีพื้นไม่มีฐาน จะไปแก้ไขมันได้อย่างไร นี่ไง พื้นฐานไม่มีประโยชน์ สิ่งใดก็ไม่มีประโยชน์ ทาน ศีล ภาวนานะ

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านเกิดมาจากทาน เกิดมาจากการเสียสละ เกิดมาจากพระโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์เกิดมาจากไหน พระโพธิสัตว์ก็คือมนุษย์ ก็คือคน แต่คนทำคุณงามความดี คุณงามความดีนั้นไปตัดแต่ง ตัดแต่งที่ไหน การที่เราได้เสียสละไปนี้เห็นไหม ปฏิคาหก ผู้ให้ ให้ด้วยเจตนาที่ดี เวลาให้ไปแล้วก็มีความสุขชื่นใจ สิ่งที่ขณะให้ ให้แล้วผู้รับเห็นไหม ให้แล้วเป็นประโยชน์ไหม ปฏิคาหก มันให้ไปแล้วมันก็ไปคิดเสียดายของมัน เห็นไหม คิดแล้วคิดเล่า คิดแล้วคิดเล่า นี่ไงมันตัดแต่งพันธุกรรมไหมล่ะ มันทำให้เป็นความดีไหมล่ะ แต่ถ้าเราทำของเราแล้ว สิ่งนั้นมันชื่นอกชื่นใจ สิ่งนั้นมันจะเป็นประโยชน์กับเรา

สวดมนต์สวดพร ถ้าเราสวดทุกวัน พอไม่สวดแล้วเหมือนเราขาดสิ่งใดไปอย่างหนึ่ง การเสียสละบ่อยครั้งเข้าจนจิตมันคุ้นชินเห็นไหมนี่ระบบของทาน ทานคือการดัดแปลงความตระหนี่ถี่เหนียว ดัดแปลงหัวใจของเรา ให้หัวใจเราพร้อม พร้อมที่จะประพฤติปฏิบัติ เห็นไหม มีแต่ว่ามาประพฤติปฏิบัติใครมาก็อริยสัจๆ พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนแบบนั้นเลย พระพุทธเจ้าสอนถึงอนุปุพพิกถา ใครที่ไม่รู้จักบุญกุศล ก็ให้ทำบุญกุศลก่อน บุญกุศลทำให้หัวใจแช่มชื่นก่อน พอหัวใจแช่มชื่นแล้วมันเกิดบนสวรรค์เกิดเป็นพรหมเห็นไหม แล้วให้ทำเนกขัมบารมี ถึงเนกขัมบารมีแล้วให้ถึงอริยสัจ ถึงจะเข้าอริยสัจได้ จิตมันจะเข้าอริยสัจได้ต่อเมื่อมันสัมผัสอริยสัจได้เห็นไหม

แต่ถ้าไม่มีกึ๋นไม่มีสิ่งใดเลยนะ สิ่งใดก็ทำได้ สิ่งใดก็ทำได้ อาหารจะมีคุณค่าขนาดไหนใส่ลงในภาชนะที่สกปรก อาหารนั้นก็สกปรกไปด้วย อาหารจะมีคุณค่าหยาบละเอียดต่างกันขนาดไหน ใส่ลงไปในภาชนะที่สะอาด ภาชนะที่สะอาดนั้นใช้ประโยชน์ได้ทุกๆ อย่างเลย ภาชนะของเราคือใจ ใจของเราเป็นภาชนะที่สัมผัสธรรม จะศึกษาพระไตรปิฎก พุทธพจน์ๆ พุทธพจน์นะถ้าเป็นธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สาธุ พุทธพจน์ แต่พุทธพจน์นั้นมันเป็นสิ่งที่เป็นหนังสือ เป็นสิ่งที่จดจารึกกันมา

แต่ความจริงที่หัวใจสัมผัส สุข ทุกข์ที่หัวใจสัมผัสมัน ที่หัวใจได้รับรู้ อันนี้ต่างหาก หัวใจที่สัมผัสมันสะเทือนใจอันนี้ต่างหาก ถ้าสิ่งนี้ต่างหาก มันต้องดูกันที่นี่ ฟังธรรม ฟังธรรม เพื่อสิ่งนี้ ฟังธรรมเพื่อความเข้าใจ ฟังธรรมเพื่อความผ่องแผ้ว ฟังธรรมเพื่อความรับรู้ ไม่ใช่ฟังธรรมเพื่อสะสม ว่าฉันรู้มากนะ ๕ ประโยค ๑๐๐ ประโยค ๑๐ประโยค กระทืบหัวจมดิน ไม่รู้อะไรเลย เพราะรู้ในสิ่งที่เป็นธรรมของพระพุทธเจ้า รู้มามหาศาลนั้นเป็นธรรมะพระพุทธเจ้าทั้งนั้นเลย ตัวเองไม่มีอะไรในหัวใจ ไม่สัมผัสอะไรเลย ไม่รู้อะไรเลย พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนอย่างนั้น ปริยัติคือปริยัติ การศึกษามาคือศึกษามา รับรู้มา ศึกษามาให้เป็นประโยชน์กับเรา แล้วได้ไหม

ดูสิ เราได้ข่าวนะ ร้านอาหารที่นั่นอร่อยมาก โอ้โฮ มีทุกอย่างสุดยอดเลย ไม่เคยเห็นไม่เคยกิน ไม่เคยสัมผัส เราได้อะไรก็ได้แต่ข่าวไง ร้านอาหารนั้นสุดยอดเลย อาหารนั้นสุดยอดเลย นี้คืออะไร ศึกษาพุทธพจน์ พุทธพจน์ นิพพาน นิพพาน สุดยอดเลย สุดยอดเลย แล้วได้สัมผัสอะไร ก็สุดยอดของพระพุทธเจ้าไง แล้วสุดยอดอะไรของเราล่ะ ถ้าสุดยอดของเราก็ต้องเริ่มต้นจากเรานี่ เริ่มต้นจากการเสียสละ การทำทาน ทำทานเสร็จแล้วได้ฟังธรรม ธรรมอันนี้จะสะเทือนใจเราไหม

ถ้าสะเทือนใจเรา เราได้แก้ไขเรา ถ้าเราไม่ได้แก้ไข เราก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรเลย เราจะไม่รู้สึกว่าเราดีหรือชั่วเลย เราก็จะอยู่ของเราอย่างนั้น เราจะทำอะไรของเรา ถ้าเราแก้ไขเราเปลี่ยนแปลงของเราเห็นไหม นี้เป็นกิจกรรม กิจจญาณ อย่างที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกพระปัญจวัคคีย์ อยู่ด้วยกันมา ๖ ปี บอกไม่รู้ก็คือไม่รู้ บัดนี้บอกว่ารู้ รู้อะไร รู้อริยสัจ รู้สัจจะความจริง

สัจจะความจริงจะเกิดขึ้นมาจากอะไร ถ้าเราไม่มีกิจจญาณ สัจจญาณ ไม่มีสัจจะ ไม่มีความจริง ไม่มีกิจกรรม ไม่มีการกระทำของจิต เราจะไม่ปฏิญาณตน เราจะไม่บอกว่าเรารู้ ถ้าเรารู้ เรารู้มาจากอะไร รู้ขึ้นมาจากความจริงอันนั้น ความจริงที่มีการกระทำอันนั้น ดูสิ เราต้มน้ำ ต้มน้ำ ต้มน้ำ แล้วน้ำเดือด ใครๆ ต้มน้ำมันก็จะเดือดเหมือนกัน แต่เขาแค่เอากามาตั้งแล้วเขาบอกว่าน้ำเขาเดือดแล้ว เราจะเชื่อเขาไหม ถ้าเราต้มน้ำ น้ำมันเดือด มันมีอุณหภูมิ เราก็เห็นๆ แล้วเขาแค่เอากามาตั้งบนเตา แล้วบอกว่าน้ำเขาเดือดแล้วเราจะเชื่อเขาไหม นี่ไงกิจจญาณ การกระทำที่มันเป็นไป มันมีของมัน ความเป็นไปของมันที่เราทำขึ้นมา แล้วเขาทำอีกอย่างหนึ่ง เราจะเชื่อเขาไหม

นี่ไงมันพิสูจน์กันได้ พระปฏิบัติเขากลัวกันมาก กลัวกันตอนการแสดงธรรม เห็นไหม การแสดงธรรมมันแสดงออกมาจากใจ มันเปิดหัวอก ถ้าไม่เป็นมันก็ขายความโง่ออกไป แล้วพอขายความโง่ออกไปก็จะตะครุบนะ มันปล่อยไก่ไปแล้ว ไก่อยู่ไหนตะครุบหาใหญ่เลยจะตะครุบกลับมา ฉันไม่ได้พูด ฉันไม่ได้พูด ลูกศิษย์มันทำผิดไป ฉันไม่เคยพูดเลย มีแต่คนจำผิดๆไปทั้งนั้น มันปล่อยไก่ออกไปแล้วมันตะครุบไก่มันไม่ทัน เพราะมันไม่มีกึ๋น! เพราะมันไม่มีกิจจญาณ! มันไม่มีสัจจะความจริงในหัวใจอันนั้น

ถ้ามีสัจจะในหัวใจอันนั้น หัวใจนั้นเราทำของเรามา ถ้าเราจะพูดอะไรที่ขัดแย้งกับการกระทำของเรา เราจะพูดออกไปได้ไหม ในใจมันทำมาหรือมันไม่ได้ทำมามันรู้ของมัน แล้วเราพูดสิ่งที่ตรงข้ามออกไป เราจะรู้ไหม เรารู้ไหมว่าเราพูดอะไรออกไป แล้วที่เราไม่เคยเห็นไม่เคยทำ แล้วเราพูดออกไป เรารู้ไหม คนพูดรู้ทั้งนั้น เวลาพูดออกไปก็คิดว่าใช่ พอออกไปแล้วพอเป็นหลักฐานขึ้นมา ก็ว่าไม่ได้พูด ไม่ได้ทำทั้งนั้นเลย ไอ้คนจดจารึกก็ผิดหมดเลย ไอ้คนพูดไม่รู้เรื่อง แล้วบอกพูดพุทธพจน์ซะด้วย พูดธรรมะมันผิดตรงไหน ก็ธรรมะทั้งนั้น

เห็นไหมนี่คือปริยัติ ปริยัติเป็นปริยัตินะ เราปฏิบัติ ครูบาอาจารย์ของเรามี ศาสนาเจริญ เจริญที่ตรงไหน เจริญที่กลางหัวใจ หัวใจที่ปฏิบัติขึ้นมาแล้ว เราจะปฏิบัติกัน เราจะปฏิบัติเพื่ออะไร ปฏิบัติเพื่อให้ได้สัมผัส เพื่อให้ได้ความจริงอันนี้ขึ้นมา ถ้าความจริงนี้ขึ้นมาใจเราได้สัมผัสนี้คืออาหารของใจ อาหารของใจคือธรรมะ คำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สั่งสอนไว้แล้ว สำรับอาหารวางไว้แล้ว แต่เรากินเป็นหรือเปล่า เราเอาอาหารใส่ใจเรา เราปฏิบัติของเราถูกต้องหรือเปล่า การปฏิบัติเห็นไหม

หลวงปู่มั่นพูดไว้เห็นไหมบอกให้ขึ้นบ้าน มันก็ขึ้นไปบนหลังคา บอกให้ลงมาจากบ้าน มันก็ลงไปใต้ถุน เขาให้ขึ้นบ้าน ไม่ใช่ให้ขึ้นหลังคา อันนี้ก็เหมือนกันธรรมะของพระพุทธเจ้าทั้งนั้นเลย แต่ว่าเราได้สัมผัสไหม เขาให้สัมผัสธรรม ศีล สมาธิ ปัญญา ถ้ามันทำจริงมันก็ต้อง ศีล สมาธิ ปัญญา

ต้มน้ำก็ต้มน้ำสิ ต้มน้ำทำไมต้องไปจุดไฟ ไอ้จุดไฟก็จุดไฟเพราะจะต้มน้ำ พอเขาต้มน้ำ ก็ห้ามจุดนะ เอากามาก็ตั้งเลยนะนึกว่ามันเดือดแล้วก็กินกัน โอ้น้ำร้อน ร้อนนะ เดือดนะ น้ำนี้อุณหภูมิดีมากเลยนะ มันเดือดนะ มันนึกเอาเอง แต่พอเขาต้มน้ำ ไอ้คนจะไปจุดไฟ บอกห้ามจุดไฟ จุดไฟไม่ใช่ ต้องต้มน้ำ ห้ามจุดไฟ จุดไฟมันผิดเพราะคนไม่เคยทำเห็นไหม ถ้าคนเคยทำก็จะรู้ เราจะต้มน้ำ เราก็ต้องจุดไฟ เราหาฟืนหาไฟมาจุดไฟมา เอากามาใส่น้ำมา แล้วต้มน้ำ แล้วน้ำเดือดขึ้นมา เห็นไหม มันมีหลากหลาย พระพุทธเจ้าบอกต้มน้ำ ไอ้เราก็ต้มน้ำเว้ยต้มน้ำ ไอ้คนไปหาฟืนมาจะมาช่วยต้มน้ำ มันบอกผิดนะ ไอ้คนหาฟืนต้องประหารชีวิตมันเลย เดี๋ยวน้ำกูจะเดือดเอง ขัดแย้งกันไปหมด เห็นไหม

ฟังธรรม ถ้าฟังธรรม อานิสงส์ของมัน ถ้าฟังจริงแล้วนี่มันสะเทือนหัวใจนะ มันสะเทือนหัวใจเพราะอะไร เวลาครูบาอาจารย์ หลวงตา ท่านพูดประจำ เวลาท่านเทศน์สอนพระนะ ผมพูดคำนี้แล้วจำคำนี้ไว้นะ ถ้าปฏิบัติมาถึง จะมากราบศพผม เวลาปฏิบัติไปแล้ว มันเส้นทางเดียวกันทั้งนั้น มันไม่มีแตกแขนงออกไปหรอก ใครประพฤติปฏิบัติมานะ มันต้องเป็นเส้นทางนั้นแหละ แล้วจะกลับไปกราบศพครูบาอาจารย์ด้วยความซาบซึ้ง ว่าเมื่อก่อนผมก็โต้แย้ง ทำไมเรากราบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ด้วยความซึ้งใจ พอใครปฏิบัติเข้าไปก็เป็นอันนี้แหละ เพราะหัวใจมันอันเดียวกัน

“พุทธะ” พุทธะอยู่กลางหัวอก พุทธะคือธาตุรู้ที่จิตมาเกิดนี้ แล้วคนเข้าไปสู่พุทธะ ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต สัตว์โลกทุกคนที่ประพฤติปฏิบัติเข้าไปจะไปเห็นพระพุทธเจ้า จะไปกราบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เหมือนกันทั้งหมดเลย เอวัง